ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

พุทโธชัดๆ

๒๘ ก.ย. ๒๕๖๗

พุทโธชัดๆ

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถามตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๗

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ถาม : เรื่อง “ได้สัมผัสพุทโธชัดๆ ครั้งแรก (ไม่มีคำถาม)”

กราบนมัสการหลวงพ่อ เพิ่งได้สัมผัสพุทโธครั้งแรก ปกติโยมจะบริกรรมพุทโธ แล้วดูลม แล้วแต่ว่าวันไหนทำแล้วมันโล่ง บางวันพุทโธมันหนัก หายใจไม่สะดวก ก็จะดูลมหายใจ แต่อันดับแรกจะลองพุทโธก่อนตามที่หลวงพ่อสอน แต่ทำไปด้วยความสงสัยว่า พุทโธๆ จิตมันจะสงบได้จริงๆ หรือ จนได้สัมผัสจริงๆ เจ้าค่ะ

ซึ่งในตอนแรกๆ ตกภวังค์ไปหลายรอบ ก็พยายามตั้งต้นใหม่ด้วยคำของหลวงพ่อผุดขึ้นมาว่า “ให้ตั้งสติของเราขึ้นมา” โยมก็ตั้งใจพุทโธ มันเริ่มชัดขึ้นมาเรื่อยๆ และชัดเจนมาก ไม่มีความรู้สึกง่วงเลย

ในระหว่างพุทโธแต่ละคำมันจะมีสัญญาอารมณ์เข้าแทรกปั๊บๆๆ โยมก็จิกพุทโธไว้แน่นๆ เผลอนิดเดียวจิตมันไปจับปรุงแต่งต่อทันที พยายามแย่งพื้นที่ให้พุทโธให้ได้ ความรู้สึกนั้นพุทโธตัวใหญ่ๆ เลยเจ้าค่ะ รู้สึกว่าพุทโธมันครอบตัวเราอยู่ ทั้งดีใจ ทั้งตื่นเต้น น้ำตาซึม ทั้งแย่งพื้นที่ให้พุทโธ ทั้งคิดว่าจิตจะลงตอนนี้แหละ

(หลายปีก่อนโยมเคยสัมผัสกับสมาธิจากการดูลม มันเลยทำให้คิดล่วงหน้าว่าจิตจะลงเหมือนที่เคยเป็น)

ในที่สุดก็ลงไปด้วยความคิดที่มันผุดขึ้นมา แต่ย้อนนึกถึงคำสอนหลวงพ่อให้ตั้งสติของเราขึ้นมา” กับ “ตั้งใจนะ ให้พากันตั้งใจ” สองคำนี้มีคุณค่ามาก และซาบซึ้งในเมตตาธรรมของหลวงพ่อมากๆ เจ้าค่ะหลังจากที่ได้สัมผัสกับพุทโธชัดๆ กราบขอบพระคุณเมตตาธรรมของหลวงพ่อค่ะ

ตอบ : ไม่มีคำถาม แต่เป็นการยืนยันไง พุทโธๆ สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน พระกรรมฐานๆ ไง ถ้าพระกรรมฐาน เวลาพุทธานุสติไง

พุทโธๆ พุทโธมันไม่มีปัญญา พุทโธมันเกิดติดนิมิต พุทโธร้อยแปด พุทโธเป็นตัวประกันน่ะ พุทโธเป็นตัวที่คนเพ่งโทษ เพราะอะไร

เพราะเวลาพุทโธๆๆ คนที่ประพฤติปฏิบัติแล้ว พุทโธมันอั้นตู้ พุทโธมันจะชนกำแพง พุทโธแล้วมันเจียนตาย แต่ถ้าปล่อยอารมณ์มันพลุ่งพล่าน ปล่อยให้มันคิดไปตามอิสระนะ “โอ๋ยธรรมะมันกำลังจะเกิด ธรรมะมันจะบรรลุธรรมแล้วแหละ” โลกเป็นอย่างนั้นทั้งนั้นน่ะ

ฉะนั้น เวลาให้พุทโธชัดๆ พุทโธชัดๆ เพราะอะไร เพราะคำว่า “พุทโธๆหลวงปู่มั่นสั่งหลวงตาพระมหาบัวไว้ เวลาที่หลวงตาพระมหาบัวขณะนั้นจิตใจกำลังพิจารณาอสุภะอย่างเข้มข้นไง ทีนี้เวลาพิจารณาอสุภะ เวลาพิจารณาไปแล้ว เวลามันพิจารณาไปแล้วมันใช้กำลังไปมากแล้วมันจะเสื่อมลง

พอมันเสื่อมลงแล้ว ถ้ามันเตลิดเปิดเปิงไป เห็นไหม เวลาติดสมาธิ ๕ ปีก็ขึ้นไปหาท่าน ท่านบอกว่า “มันเป็นสุขเศษเนื้อติดฟัน” มันเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นน่ะ นี่เวลาติดสมาธิ เวลาสมาธิ สมาธิที่เป็นสมาธิไง

เวลาออกใช้ปัญญาไปแล้ว เวลาขึ้นไปแล้วบอกว่า “ไม่ใช้ปัญญาๆ ตอนนี้ก็ใช้ปัญญาแล้วนะ

นั่นน่ะสมบัติบ้า สมบัติบ้า

ท่านต้องกลับไปพุทโธๆ พุทโธๆ จิตมันสงบไง ถ้าจิตมีกำลังแล้วไง จิตไม่มีกำลังแล้วจิตโดนสมุทัยมันเจือปนมาตลอดเวลา เอ็งจะทำอะไรก็แล้วแต่ กิเลสมันยิ้ม กิเลสมันจัดการให้หมดน่ะ มันจัดการให้ได้ จะเป็นขุนโจรก็พาปล้นพาจี้ จะเป็นบัณฑิต กูก็พามึงทำความดี พาทำ ใครพา สมุทัย กิเลสทั้งนั้นน่ะ

สัมมาสมาธิ จิตตั้งมั่น พ้นจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

จะพาไปลงนรกอเวจี ไม่ให้กิเลสมันพาไปว่าจะเป็นบัณฑิต จะเป็นผู้ดี จะบรรลุธรรมๆ นี่สมุทัย

สมุทัยคือกิเลส ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์เพราะเหตุ เหตุคือตัณหาความทะยานอยาก เหตุคือกิเลส กิเลสครอบครัวมันยิ่งใหญ่นัก แล้วจะมาปฏิบัติธรรม จะมาทำความดี

ปฏิบัตินะ หลวงตาบอกว่า ปฏิบัติพอเป็นพิธี

เพราะพิธีปฏิบัติที่ไหนก็มี ปฏิบัติพอเป็นพิธีแล้วเขาก็มีสำนักวิธีปฏิบัติ แล้วเวลาปฏิบัติธรรมๆ ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์เทศนาว่าการ คนที่ไม่เคยเข้ามาในพระพุทธศาสนาเลย อนุปุพพิกถา ให้เขาฝึกหัดทำทานก่อน เพราะการทำทานมันจัดระบบความคิดไง

ทาน ศีล ภาวนา

คำว่า “ทาน การเสียสละ” เสียสละเพื่อหมู่คณะ เสียสละเพื่อตนเอง เสียสละเพื่อพ่อเพื่อแม่ เสียสละ ความเสียสละนั้นเป็นคุณงามความดี คุณงามความดีไง ทาน

แล้วก็มีศีล ศีลคือความปกติของใจ ทำทานแล้วนะ แล้วไม่มีศีล มันก็จะไปจี้ไปปล้นเขามาทำทาน เวลาทำทานมันก็ไปเบียดเบียนเขามันก็ไปทำลายเขา เวลาจะถือศีล ศีลคือความปกติของใจ ไม่เบียดไม่เบียนตนเองและไม่เบียดเบียนผู้อื่นไง

แล้วถ้าฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาเป็นสัมมาสมาธิ ศีล สมาธิ แล้วมาฝึกหัดปัญญาๆ ปัญญาในพระพุทธศาสนาไง

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงท่านบอกให้พุทโธก่อน พุทโธๆๆ ทำจิตใจของตนให้สะอาด พ้นจากสมุทัยที่จะพาไปจี้ไปปล้น แล้วก็พ้นจากสมุทัยที่จะพาไปบรรลุธรรม บรรลุบนก้อนเมฆ

ทำความสงบของใจก่อน เห็นไหม ฉะนั้น เวลาพุทโธๆ พุทธานุสติ ฝึกหัดทำพุทโธๆ แล้วถ้าพุทโธมันเป็นความจริงไง นี้พุทโธชัดๆ พุทโธชัดๆ

มันจะพุทโธแล้วจิตใจมันจะนุ่มนวล จิตใจมันจะมีความมหัศจรรย์ขนาดไหน ห้ามทิ้งพุทโธเด็ดขาด คำว่า “ห้ามทิ้งพุทโธเด็ดขาด” นี้ก็เพราะจิตใจของคน บารมีของคนมันแตกต่างหลากหลาย

คนเราห้าบาทสิบบาทก็มีความสุขได้ บางคนห้าร้อยพันนึงก็ยังไม่มีความสุข หมื่นนึงแสนนึงถึงมีความสุขไง นี่ไง เวลาใช้จ่ายเงินทอง ห้าบาทสิบบาทเขาก็ใช้จ่ายของเขาได้ เขาก็ซื้อมาม่ากินอิ่มท้องของเขาได้ ถ้าเป็นร้อยเป็นพันเขาก็เข้าร้านอาหาร ถ้าเป็นหมื่นเป็นแสนเขาก็ไปหาอาหารชั้นยอดของเขา

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของคนมันจะสูงต่ำ มาตรฐานวุฒิภาวะมากน้อยขนาดไหน พุทโธๆ ถ้ามันสงบเข้ามามันเป็นสากล

ศีล สมาธิ ปัญญา

ฉะนั้น พุทโธๆ ให้มันสงบตามความเป็นจริงไง ถ้ามันสงบตามความเป็นจริง ศีล สมาธิ สมาธิๆ จิตตั้งมั่น สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

แต่คนที่ไม่มีวุฒิภาวะเวลาจิตสงบแล้วไม่รู้จักว่าจิตสงบเป็นอย่างไร ถ้าไม่รู้จักจิตสงบ มันก็ต้องพิจารณาให้แยะแยะของมันเข้าไป ถ้าคนมีอำนาจวาสนาขึ้นมาพอจิตสงบแล้วมันเข้าใจความสงบของมัน มันเห็นความสงบของมัน มันมีความสงบของมัน ถ้าจิตของคนถ้ามันคึกมันคะนอง เวลาจิตมันสงบแล้วมันมหัศจรรย์ มันจะดีดตัวเองขึ้นไปอยู่บนก้อนเมฆท้องฟ้านู่นน่ะ นี่จิตของคนมันแตกต่างหลากหลายทั้งนั้น

ฉะนั้น คำว่า “พุทโธ” นี่เป็นมาตรฐาน พุทธานุสติ

แต่ว่า “พุทโธ ก็บอกมาสิว่าพุทโธทำอย่างไร พุทโธแค่ไหน

บุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเอ็งทำอะไรมา คนเราจะทำมาเท่ากันมันเป็นไปไม่ได้ ทีนี้คนมันเท่ากันเป็นไปไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนปัจจุบันธรรม ปัจจุบันนี้คนจะเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมาตามทัศนคติตามบาปเวรกรรมของสัตว์ แต่ถ้าทำความสงบของใจขึ้นมาเป็นปัจจุบันๆ ศีล สมาธิ ปัญญา

ฉะนั้น วงกรรมฐาน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมีข้อวัตรปฏิบัติ ท่านให้ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ ท่านจะสอนให้ทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบใจของตนเข้ามา ไม่ใช่นิพพาน ไม่ใช่พระอรหันต์ ไม่ใช่สิ้นกิเลส ไม่ใช่ใดๆ ทั้งสิ้น แค่จิตสงบเป็นปุถุชนนี่แหละ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

แล้วถ้ามันทำสมาธิไม่เป็น ทำความสงบไม่เป็นมันจินตนาการไปร้อยแปด แล้วถ้าจินตนาการไปร้อยแปดไง นี่มันเป็นคำพูดของหลวงตาพระมหาบัวว่าแม้แต่สมาธิมันยังทำกันไม่เป็นจะทำอะไร

หลวงตาพระมหาบัวท่านพูดกับหลวงปู่เจี๊ยะ เรานั่งฟังอยู่ทั้งนั้นน่ะ หลวงปู่เจี๊ยะท่านถามหลวงตาว่า “ทำไมเดี๋ยวนี้พระมันเป็นอย่างนี้ไปหมดแล้ววะ

หลวงตาท่านบอกว่า “แม้แต่สมาธิมันยังทำกันไม่ได้

คือท่านไม่ยกเหตุยกผล ไม่ยกอะไรขึ้นมาวิจัยเลย ถ้าทำสมาธิไม่เป็นมันก็จบตั้งแต่เริ่มต้น เหมือนกับเราไม่มีวุฒิภาวะจะเข้าสถาบันการศึกษาใดๆ ไปศึกษาอะไรมันไม่มี มันเป็นไปไม่ได้

ฉะนั้น จะเป็นไปได้ จะประพฤติปฏิบัติแนวทางไหนก็แล้วแต่ แต่ถ้าพุทโธชัดๆ ได้ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิได้มันซาบซึ้ง มันเห็นคุณค่าของกายและใจ

ถ้าหัวใจๆ หัวใจที่อยู่ในร่างกายนี้ แล้วทำสมาธิกันไม่เป็น มันไม่รู้จัก มันเป็นไปไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์รื้อหัวใจของสัตว์โลก เทวดาก็เป็นพระอรหันต์ พรหมก็เป็นพระอรหันต์ มนุษย์ก็เป็นพระอรหันต์

ถ้าเวลาฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วใช้จิตตภาวนา ใช้จิตของตนแทงทะลุกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน มนุษย์ เทวดา พรหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการไง เป็นพระอรหันต์ๆ บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์น่ะ แล้วถ้าจิตมันไม่สงบมันจะมีจิตตภาวนาไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อหัวใจของสัตว์โลก รื้อหัวใจของสัตว์โลกแล้วถ้ามันไม่เข้าใจหัวใจของมัน ทำสมาธิไม่เป็น มันจะเริ่มต้นตรงไหน มันเป็นไปไม่ได้

ฉะนั้นบอกว่า ถ้ามันทำสมาธิไม่เป็นก็เริ่มต้นไม่ได้ ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีสมถกรรมฐาน

ฉะนั้น เวลาฝึกหัดปฏิบัตินะ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำคุณงามความดีของท่านมามากมาย หลวงตาพระมหาบัวท่านบอกว่าเป็นโรงงานผลิตพระอรหันต์ ฉะนั้น ว่าเป็นโรงงานผลิตพระอรหันต์ขึ้นมา ท่านถึงวางข้อวัตรปฏิบัติ สร้างธรรมทายาทให้เป็นที่เชื่อถือมั่นคงของชาวพุทธในกึ่งกลางพระพุทธศาสนา

คนที่ฝึกหัดปฏิบัติ วิธีการ เส้นทางนั้นสำคัญมาก

จะเป็นกีฬาอะไรก็แล้วแต่ ความฟิตต้องมีทุกประเภท แต่ทักษะในการกระทำกีฬาแต่ละชนิด นี่ก็เหมือนกัน ความฟิต ถ้าจิตมันตั้งมั่นได้ จิตมีสัมมาสมาธิได้ แล้วทักษะที่มันจะเกิดขึ้น มันจะเกิดขึ้นอย่างไร แล้วทำอย่างไร ถ้ามันทำของมันได้ไง

นี่พูดถึงพุทโธชัดๆ พุทโธชัดๆ ไง

ถ้าพุทโธชัดๆ ขึ้นมาแล้ว สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วถ้าจิตมันจะสงบ จิตเป็นสัมมาสมาธิต้องเป็นแบบนี้ เป็นแบบที่ผู้ถามถาม

มันแตกต่างกับสิ่งที่เคยทำมาใช่ไหม มันแตกต่างกับอารมณ์ความเป็นปกติใช่ไหม ถ้ามันไม่แตกต่างขึ้นมามันจะเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาอย่างไรล่ะ มันก็เป็นอารมณ์ความรู้สึกของคนทั่วไปไง

ฉะนั้น เวลาพูดถึงๆ มันเป็นการยืนยันไงว่า ถ้าพุทโธชัดๆ พุทโธชัดๆ

แล้วพุทโธเป็นจำเลย เวลาพุทโธขึ้นมา “สมถะมันโง่มันเง่ามันเต่ามันตุ่น พุทโธมันแก้กิเลสไม่ได้ ไปภาวนาทำไม แล้วทำไมต้องพุทโธ

แต่ถ้าเป็นคนที่มีอำนาจวาสนานะ พุทโธนี้เป็นพุทธานุสติ ระลึกถึงพุทโธก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้า จิตมันจะสงบหรือจิตมันจะไม่สงบถ้าเราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา มันก็เป็นการควบคุมไม่ให้กิเลสมันมาแย่งชิงพื้นที่ในหัวใจของเราไปย่ำยีอยู่แล้ว เราก็พุทโธสิ

ฉะนั้น กิเลสในใจของเรามันยิ่งใหญ่ เวลาจะพุทโธมันเป็นคำบริกรรม คำบริกรรมเราต้องระลึกขึ้น วิตก วิจาร เราต้องวิตก วิจารขึ้น วิตกนี่นึกขึ้น วิจาร พุทโธๆ ในหัวใจของตน พุทโธเราต้องระลึกขึ้นแล้วเราต้องทำขึ้น มันถึงยากถึงลำบาก เพราะกิเลสภายในมันคอยกีดคอยขวางคอยทำลายอยู่แล้ว ถ้ามันกีดมันขวางมันคอยทำลายไง

ฉะนั้น เราพยายามพุทโธๆ ของเรา

ถ้าด้วยความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ด้วยความหมั่นเพียร กิเลสมันกลัวธรรม มรรค ๘ ระลึกชอบ งานชอบ เพียรชอบ เพียรในการกระทำของเราน่ะ สักวันหนึ่งกิเลสมันก็ต้องเผลอ ต้องยุบต้องยอบลงไป ถ้ามันยุบมันยอบลงไปนะ ถ้ามันเป็นการประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง คือมันมีสติ มีคำบริกรรม มีการกระทำ มีนวกรรม มีงาน พอมันมีงานมันก็มีผลงาน เวลาผลงาน ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา มหัศจรรย์ นี่สมาธิ

สมาธิยังทำกันไม่เป็น ถ้าทำไม่เป็นมันก็เพ้อเจ้อกันไปไง “บรรลุธรรมๆ

นี่พูดถึงข้อเท็จจริงในพระกรรมฐานในการประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา แต่ที่ปฏิบัติทั่วไปมันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิคือจะคิดอะไรก็ได้ จะจินตนาการอย่างไรก็ได้ จะปฏิบัติที่ไหนก็ได้ ขอเชิญๆ ขอเชิญให้ปฏิบัติเถิด จะปฏิบัติบูชากิเลส จะปฏิบัติบูชาเพื่อความหลงใหล เชิญ

เพราะถ้าปฏิบัติจริงๆ จังๆ ขึ้นมาแล้วมันเห็นคุณค่า

คนพาลกับบัณฑิตแตกต่างกัน จิตที่เป็นพาลมันพาลพาโล มันให้ผลเป็นโทษทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาดูแลรักษามันเป็นความดีทั้งนั้นน่ะ

แต่ถ้าจะบอกว่ามันประพฤติปฏิบัติในแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ในแนวทางกรรมฐาน เราบอกว่า ไร้เดียงสา ไร้สาระ ขอเชิญคุณท่านทำตามความไร้สาระของคุณท่านกันเถิด แต่การประพฤติปฏิบัติคือกิริยาของคนดี การทำความดีก็เป็นความดี แต่เป็นความดีบูชากิเลส บูชาโลกให้โลกเห็นว่าพระพุทธศาสนาสอนแนวทางอย่างนี้

แต่ในการประพฤติปฏิบัติแบบกรรมฐานแบบพระปฏิบัติ เวลาการประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา เวลาเกิดสัจจะเกิดความจริงขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบไง พุทโธๆ นี่แหละ พุทโธชัดๆ นี่ ผลของมัน เห็นไหม

เพิ่งได้สัมผัสพุทโธครั้งแรก เคยบริกรรมพุทโธมาตลอด หายใจดูลมหายใจมาตลอด แล้วมันเคยตกภวังค์มาเยอะแยะมากมาย มันไม่เคยเป็นอย่างนี้ มันไม่เคยเป็นอย่างนี้” แล้วเวลามีสติปัญญา เห็นไหม เขาบอก เวลามีการกระทำ กิเลสมันจะมาแย่งชิงไปตลอด มันจะชักจูงให้ไปทางอื่นทั้งนั้นน่ะ

แล้วถ้าชักจูงไปทางอื่น แล้วก็ตามกิเลสมันไปนะ แล้วก็กลับมา เอาแล้ว “พุทโธไม่มีค่าเลย พุทโธทำเหนื่อยเกือบตาย พุทโธทำมาแล้วไม่เห็น มันเป็นเรื่องไร้สาระ

ก็วาสนาของคนไง หลวงตาท่านพูดว่า ขนโคกับเขาโค

โคตัวหนึ่งมีสองเขา ขนเต็มตัว มนุษย์เกิดมาเต็มสามโลกธาตุ จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ บุญกุศลของคนสูงหรือต่ำอย่างใด ถ้าบุญกุศลของคนมี มันก็พยายามฝึกหัด ถ้าเป็นข้อเท็จจริง ถ้าบุญกุศลของเรามี เราก็ฝึกหัดของเรา ถ้ามันยังไม่ถึงเป็นผล เพราะอะไร

ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก พระพุทธศาสนาสอน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์รื้อหัวใจของสัตว์โลก ก็หัวใจเรานี่ไง หัวใจที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติก็ให้กิเลสมันไพล่ซะ พาล้มลุกคลุกคลานไป

การปฏิบัติ เราส่งเสริมนะ ให้ปฏิบัติ แต่มันก็อยู่ที่กรรมของสัตว์ คือคนมันมีวาสนาแค่นั้นน่ะ คนมีวาสนาแค่นั้นมันก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ก็เป็นบุญของเขา เพราะจะประพฤติปฏิบัติให้เป็นจริตเป็นนิสัย

แล้วมันเป็นวัฒนธรรมของชาวพุทธไง ปริยัติ ปฏิบัติ เราก็อยากปฏิบัติ อยากได้สัมผัสความจริง ถ้าสัมผัสความจริงนะ มันก็อยู่ที่วาสนา คือคัดเลือก

หลวงปู่มั่นท่านฝึกหัดของท่าน ท่านไปหาพระทั่วแถวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปหมดน่ะ พม่า เขมร ลาว ไปหมด เพื่อหาครูหาอาจารย์ ไม่เจอ ไม่มี เวลาท่านฝึกหัด ท่านฝึกหัดของท่านเอง

หลวงตาพระมหาบัวเวลาท่านปฏิบัติ เล็งเลย หลวงปู่มั่นองค์เดียวเท่านั้น องค์อื่นได้สัมผัสอยู่ จิตใจมันไม่รับ คนเราถ้ามันพุ่งเป้า เข้าเลย

แล้วโดยพื้นฐาน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เริ่มต้นจากตนนี่แหละ ตนมีวิสัยทัศน์ ตนมีวาสนาหรือไม่ พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง มันเป็นธรรมไปได้อย่างไร

พูดคำไหนเป็นคำนั้น นั่นเป็นธรรม ซื่อตรง เริ่มต้น ท่ามกลาง ที่สุด เออใช่ เราก็พิสูจน์ได้โดยสติปัญญาต่ำต้อยอย่างเรานี่

เราดูครูบาอาจารย์เวลาท่านสอน สอนอย่างนี้ เวลาท่านทำทำอีกอย่างหนึ่ง อ้าวสอนให้เราลุยไฟ แต่ท่านไปนั่งอยู่บนกองน้ำแข็ง เฮ้ยมันไม่ใช่ว่ะ ถ้ามันเห็นอย่างนี้มันก็ละทิ้ง เราก็หาของเราใหม่ ถ้ามีวาสนานะ ถ้าไม่มีวาสนามันไม่คิดอย่างนี้

ที่ไหนสะดวก ที่ไหนสบาย ที่ไหนกินอิ่มนอนอุ่น ที่ไหนมีการเชิดชูบูชา ปฏิบัติพอเป็นพิธีไง เพราะพิธีปฏิบัติทุกคนก็ทำได้ แล้วทำแล้วก็ยิ้มแย้มแจ่มใสมีความสุข ไอ้พวกพุทโธๆ นี่อัตตกิลมถานุโยค มีแต่ความทุกข์ความยาก ไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์เลย

แต่เวลามันเป็น นี่คำถาม “ได้สัมผัสพุทโธชัดๆ ครั้งแรกค่ะ” เลยขอบคุณแล้วขอบคุณอีกไง

นี่เป็นมาตรฐาน ถ้าเป็นความจริง นี่แค่เข้าไปสัมผัส ถึงบอกว่า สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แต่เวลาคนสัมผัสๆ บางทีมันเป็นส้มหล่นอย่างนี้ เป็นครั้งเป็นคราว แต่เราก็ฝึกหัดชำนาญในวสี ฝึกหัดที่มันเข้ามาได้อย่างไร

หลวงตาพระมหาบัวท่านสอนประจำ ถ้าเป็นสมาธิแล้ว เวลาออกอย่าพรวดพราดออก แล้วเวลาสัมผัสสัมมาสมาธิแล้ว ก่อนที่จะสัมผัสสมาธิเราตั้งอารมณ์อย่างใด เราบริกรรมอย่างไร เราใช้เวลาขนาดไหน แล้วเรามีสติปัญญาอย่างไร รักษาตรงนั้น ฝึกหัดๆ ชำนาญในวสี

ถ้าเราชำนาญในเหตุ เรามีบ้านหลังหนึ่ง เราเป็นคนสร้างเอง ทางเข้าบ้านเราเป็นคนสร้างเอง เข้าออกๆ บ้านทำไมเข้าไม่ได้วะ ฟลุกเข้าไปบ้านทีหนึ่งแล้วเข้าไม่ได้อีกเลย ทำสมาธิได้หนหนึ่งก็ทำไม่ได้อีกเลยอย่างนี้ มันก็แปลกนะ แล้วถ้าไม่ได้สมาธิมันก็ไม่มีบ้าน

คูหาของจิต ถ้ามันได้บ้านหลังหนึ่ง มีบ้านมีเรือนที่พักที่อาศัย เริ่มต้นจะทำคุณงามความดีได้แล้วเพราะเรามีบ้านที่พักที่อาศัย แล้วเราจะสร้างคุณงามความดีของเรา เพราะสมาธิไม่ใช่นิพพาน สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ แต่สมาธิเป็นมรรคองค์หนึ่งในมรรค ๘

ขาดสมาธิ มรรค ๘ เกิดไม่ได้

แล้วถ้าเกิดได้ ทางสายกลางในพระพุทธศาสนา ที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสละชีวิตค้นคว้ามา ทั้งๆ ที่มีธรรมและวินัยกึ่งกลางพระพุทธศาสนา ทุ่มเททั้งชีวิต

หลวงตาพระมหาบัวท่านบอก หลวงปู่มั่นสลบ ๓ ครั้งเหมือนพระพุทธเจ้า คนสลบถึง ๓ ครั้งน่ะ พระพุทธเจ้าสลบถึง ๓ หน หลวงปู่มั่นท่านก็สลบ แต่ท่านบอกว่า ที่สลบเพราะท่านเจ็บป่วยด้วย สลบไป ๓ หนหลวงปู่มั่นน่ะ แล้วท่านรื้อค้นมา

แล้วเราเกิดมาเป็นมนุษย์ ซื่อสัตย์สุจริต กตัญญูกตเวที บุญคุณของท่านล้นฟ้า แล้วแนวทางที่ท่านบอกมานี่ทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่มีใครสนใจเลย เศร้าใจว่ะ จบ

ถาม : เรื่อง “จะสู้กับมันอย่างไรดี

ผมและคุณพ่อนั่งคุยด้วยกันไม่ถึงสิบนาทีก็จะทะเลาะกันเสมอ คู่แค้นจากอดีตชาติโดยไม่ต้องสงสัย จนคืนหนึ่งระหว่างที่คุณพ่อด่าว่าคุณแม่มีชู้ข้างนอกไม่ยอมกลับบ้าน ซึ่งไม่ได้เป็นความจริง และด้วยความอดกลั้นมานาน ผมทุบโต๊ะแล้วด่าคุณพ่อลั่นบ้านจนเกือบจะลงมือต่อยตีกัน ดีที่น้องสาวมาห้ามทัน สติก็กลับคืนมา

คำถามคือ

ที่ระเบิดบ้าคลั่งและขาดสติ เพราะกำลังสมาธิไม่พอ จับอารมณ์ความรู้สึกช้าไป หรือเพราะอารมณ์ที่อดกลั้นมานานและรุนแรงมากจนครองสติไม่อยู่ครับ

การด่าว่าคุณพ่อเป็นการทำร้ายคุณพ่อ กรรมที่ทำจะหนักแค่ไหน

ถ้าคุณพ่อเป็นคนพาลที่ไม่มีเหตุและผล มีนิสัยด่าว่าคนในบ้านเป็นประจำ เราจะหลบหลีกการปะทะกับคุณพ่ออย่างไรดีครับ

ขอเมตตาหลวงพ่อช่วยชี้ทางสว่างด้วยครับ ช่วงนี้กิเลสในใจมันเล่นงานผมหนักเลย

ตอบ : นี่คำถามเนาะ คำถามมันชัดเจน “คุยกับคุณพ่อไม่ถึงสิบนาทีจะมีเรื่องกันเสมอ คู่แค้นจากอดีตชาติโดยไม่ต้องสงสัย

ขอโทษนะ ไม่ใช่หัวเราะสะใจ หัวเราะนี่มันให้ค่ากับสติปัญญาของเขา

นี่มันขัดแย้งกันโดยข้อเท็จจริงไง มันขัดแย้งกันนะ มันขัดแย้งว่า ชาตินี้เราเกิดมาท่านเป็นพ่อ เราเป็นลูก พ่อกับลูก พ่อเป็นพระอรหันต์ของลูก ชาติปัจจุบันนี้พ่อของเราคือให้ชีวิตเรามา เป็นพระอรหันต์ของเรา แต่ทำไมเราสงสัยว่าเราคุยกับพ่อไม่ถึงสิบนาทีต้องมีเรื่องแน่นอน คู่แค้นอดีตชาติโดยไม่ต้องสงสัย

นี่ไง ที่ว่าคู่แค้นอดีตชาติโดยไม่ต้องสงสัย เพราะเราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เราศึกษาธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ อดีตชาติกี่ภพกี่ชาติทำมา จุตูปปาตญาณ อนาคตถ้าเราไม่สิ้นกิเลส เราจะต้องมีคู่แค้น คู่แค้นอดีตชาติแน่นอน แต่ในชาติปัจจุบันนี้เป็นพ่อกับเป็นลูก

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเป็นคู่แค้นจากอดีตชาติแน่นอน ฉะนั้น อันนี้เราเพราะด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเราเอาธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาจับประเด็นนี้ มาจับประเด็นของเรา นี่มันเป็นบุญนะ มันเป็นบุญให้เราได้คลี่คลายปัญหาในชีวิตไง

ถ้ามันเป็นบาปเป็นกรรม มันเป็นคู่แค้นจากอดีตชาติแน่นอน อันนี้เราก็แขวนไว้ นี่มันเป็นอดีตไง เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนแก้อดีตอนาคต ท่านสอนให้แก้ที่ปัจจุบัน

แล้วปัจจุบันเราเกิดเป็นพ่อเป็นลูกกัน พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ท่านก็ต้องรักเรา ท่านต้องทำอยู่ในศีลในธรรม ไอ้เราก็เป็นลูก เราก็จะเคารพบูชาพระอรหันต์ในบ้านของเรา นี่เราเคารพบูชาพระอรหันต์ในบ้านของเรา แต่พระอรหันต์ด่าทุกวันเลย พระอรหันต์เหยียบย่ำทุกวันเลย มันทนอย่างไรล่ะ มันทนอย่างไร

นี่พูดถึง กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ปัญญาอบรมสมาธิ เรารู้เราเห็นได้ แต่เราจะควบคุมปัจจุบันนี้ได้หรือไม่ล่ะ

ฉะนั้น อดีตเราแขวนไว้ แต่ปัจจุบันนี้เราจะต้องยอมรับเวรรับกรรม เพราะเราได้ทำกรรมอย่างนี้มา ถ้าเราไม่ได้ทำกรรมอย่างนี้มา พ่อของเราจะเป็นผ้าพับไว้ พ่อของเราจะคอยคุ้มครองดูแลเรา พ่อของเราจะไปรับไปส่งเลย เช้าพาไปส่งที่ทำงาน เย็นก็จะไปรับกลับเลย ถ้าพ่อที่ดีงาม อันนี้เป็นชีวิตประจำวันไง

แต่ธรรมและวินัย พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกเพราะพ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา แล้วโดยความรู้สึกนึกคิดของเขา เขาก็เป็นเจ้าของชีวิตเรา กูอาบน้ำร้อนมาก่อนมึงนะ กูอาบน้ำร้อนให้มึงด้วย กูดูแลมึงทั้งชีวิต เขาเรียกร้องอยู่แล้ว เขาเรียกร้องให้เราเชื่อฟัง เรียกร้องให้เราอยู่ในคำที่ท่านอบรมบ่มเพาะ

แต่เรามาศึกษาธรรมะแล้วมันเป็นอิสระไง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนจะมาแก้ไขที่ในใจของตน

ฉะนั้น สิ่งนี้เป็นเวรเป็นกรรม ถ้าเรามีเหตุมีผลนะ เรามีสติปัญญาเท่าทัน เพราะเขาอารัมภบทมาไง จนว่า ทำไมมันถึงมีเหตุการณ์อย่างนี้ แล้วมันมีเหตุการณ์อย่างนี้ แล้วเวลาเหตุการณ์มันเกิดขึ้นมาแล้ว คำถาม

ที่ระเบิดบ้าคลั่งจนขาดสติเพราะกำลังสมาธิไม่พอ จับอารมณ์ความรู้สึกช้าไปก็เพราะอารมณ์ที่อดกลั้นมานาน หรือเป็นเพราะอารมณ์อดกลั้นมานาน

มันอดกลั้นมานาน ความอดทนของคนมันมีขีดจำกัด ทั้งๆ ที่เราก็รู้ ทั้งๆ ที่เราก็รู้ว่าพ่อของเรา แล้วเขาเข้าใจผิดแม่ของเรา แล้วบอกว่าแม่ไปนอกใจ คิดไปร้อยแปด

สงสัยพญามารนี่มันคุมน่าดูเลย มารมันบงการเลย ชีวิตของคนนะ นี่ไง เริ่มต้น ท่ามกลาง ที่สุด ฉะนั้น ชีวิตของคนอยู่ในครอบครัวมันมีความเห็นต่าง มันมีความแตกต่าง อันนั้นแบบว่าอดีตชาติแก้อะไรไม่ได้

ฉะนั้น ในปัจจุบันๆ เราตั้งสติของเรา พอตั้งสติของเรา เราดูแลรักษาของเรา มันเป็นเวรเป็นกรรมของเรา ถ้าเป็นเวรเป็นกรรมของเรามันยิ่งซึ้งธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากขึ้นๆ

ฉะนั้น มันเป็นเพราะความอดกลั้น มันเป็นเพราะมีสติปัญญา ที่พูดนี่ แล้วฟัง แล้วเอาไปตั้งใจคิด มันต้องมีสติปัญญามาตั้งแต่ต้นแล้วดูแลรักษามา ถ้าวันไหนสติขาดก็เป็นอย่างที่เราทำนั่นน่ะ แล้วมันเป็นซ้ำเติมๆ

แล้วเวลามันคิดมันก็น้อยใจนะ ท่านมีอายุมากกว่าเรา ท่านต้องคิดได้ดีกว่าเรา เราอายุน้อยกว่า ทำไมเราคิดได้ เราเข้าใจได้ ทำไมผู้ใหญ่กว่าเราขนาดนี้ทำไมคิดไม่ได้ ทำไมคิดไม่ได้ มันคิดไปนู่นเลยนะ อ้าวก็สั่งสอนเราไง

ฉะนั้น แขวนไว้ เพราะถ้าเวรกรรมมันปิดหูปิดตานะ เขาคิดของเขาไปอย่างนั้นน่ะ แต่ถ้าสติปัญญาเราเท่าทัน เรารักษาของเรา

ฉะนั้น สิ่งที่ว่า เป็นเพราะว่ามันทุกวัน อดกลั้นมานานหรือเราไม่ทัน

ให้มากขนาดไหนก็ไม่ทัน แล้วถ้ามันไม่ทันแล้วมันก็พลั้งพลาดไป เพราะคนเรามันมีเชื้อไข มันมีความคิด มันมีนิสัยใจคอของเรา แล้วเรื่องภายนอกมันมาจากข้างนอก แล้วเวลาเราคิดคาดหวังก็คาดหวังว่าพ่อกับแม่ต้องรักกัน พ่อกับแม่ก็ต้องมีความสุขต่อกัน ทำไมพ่อคิดกับแม่อย่างนี้ แม่คิดกับพ่ออย่างนั้น โอ๋ยร้อยแปด

มันเป็นผลของวัฏฏะ แล้วเราดูแลรักษาใจของเรา นี่ข้อที่ ๑.

การด่าว่าคุณพ่อหรือการทำร้ายคุณพ่อ กรรมที่ทำจะหนักไหมครับ

พระอรหันต์ของลูก เราทำสิ่งใดไป พระอริยเจ้า ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นกรรมหนัก ทำร้ายพ่อทำร้ายแม่เป็นกรรมหนัก เพราะอะไร เพราะในโบราณมันมีไง เวลาพ่อแม่เมตตาลูก อุ้มลูกเล็กทารกมันก็ตีหน้าแม่ๆ เขาเขียนไว้ตามโบสถ์ตามวัด มือใหญ่เท่าใบตาล ตีด้วยความสนุกสนานครึกครื้นนะ ไอ้แม่ก็หัวเราะคิกคักๆ ไอ้ลูกมันตีแม่ไง ตีแม่หยอกเล่นน่ะ นั่นน่ะเป็นเปรตมือเท่าใบตาล นี่ตีเล่นๆ นะ ไอ้นี่ทะเลาะกันเลย

ฉะนั้น ถ้าคนถ้าทำได้นะ ถ้าทำไม่ได้ก็เก็บไว้ในใจคือขอขมาลาโทษในใจของเรา มันมีคำถามหลายคำถามนะที่ลูกๆ ไปขอขมาพ่อขอขมาแม่ ถึงเวลาแล้วถ้ามีสติสัมปชัญญะแล้วขอขมาลาโทษซะ ไม่ให้มีเวรมีกรรมต่อกัน ถ้าวันไหนพ่ออารมณ์ดีๆ ถ้าเป็นไปได้ก็ยกมือไหว้ขอขมาลาโทษ

เราคิดว่า อาจจะเป็นไปเตือนสติด้วย อาจจะให้เขาได้ยั้งคิดหรืออาจจะทำให้เขาได้สติปัญญา เขาก็ต้องสะเทือนใจนะ พ่อทะเลาะกับลูก ลูกก็เจ็บช้ำน้ำใจเสียใจ ไอ้พ่อไม่เสียใจ เราไม่เชื่อ แต่เป็นผู้ใหญ่เขาก็เก็บไว้ในใจน่ะ ถ้าเป็นไปได้ก็ขอขมาลาโทษเพื่อละเวรละกรรม เหมือนคำถามข้อที่ ๒นี่แหละ

ถ้าเป็นกรรมหนักไหม มันก็เป็นเวรเป็นกรรมทั้งสิ้น ถ้ามีสิ่งใดเราเก็บไว้ในใจ เราเก็บไว้ในใจ พยายามตั้งใจของเรา รักษาของเรา เพราะมันมีที่มาที่ไปทั้งนั้น กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เวรกรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน แล้วสัตว์มันมีเวรมีกรรมของมันโดยสัจจะโดยความจริง แล้วเวรกรรมไล่ล่าตามล่าชีวิตของเรากันอยู่นี่ไง

ฉะนั้น มันจะเกิดเวรเกิดกรรมสิ่งใดก็แล้วแต่ เราจะทำคุณงามความดีของเรา เราจะทำคุณงามความดีของเรา

เด็กๆ มันฟังอย่างนี้มันรำคาญหลวงพ่อ รำคาญมาก

เราจะทำคุณงามความดีของเรา เราจะทำคุณงามความดีของเราเพราะเราเชื่อเวรเชื่อกรรมไง แล้วถ้ากรรมมันไล่ล่า มีสติมีปัญญาบริหารจัดการให้มันเบาบางลง ให้มันแยกแยะกันไป

ถ้าเป็นไปได้เราก็ขอขมาลาโทษซะ เพราะการขอขมาลาโทษมันเป็นการเตือนสติทั้งสองฝ่าย ทั้งของเราและของท่าน แล้วถ้าของท่าน ท่านเห็นการกระทำแบบนี้ นี่มันเป็นการเทศน์อันหนึ่งเลย มันเป็นการกระทำอย่างหนึ่งที่เตือนสติ เตือนให้ใฝ่รู้ เตือนให้หัวใจได้แก้ไข ถ้าทำได้ ถ้าทำไม่ได้ เก็บไว้ในใจ

ถ้าคุณพ่อเป็นคนพาลไม่มีเหตุผล มีนิสัยด่าว่าคนในบ้านเป็นประจำ เราจะหลบหลีกและปะทะกับคุณพ่ออย่างไรดี

ต้องดูแลแม่ ต้องปกป้องแม่ ปกป้องไว้ แต่การปกป้องแม่ต้องปกป้องด้วยสติปัญญา อย่าแสดงอาการปกป้องให้ท่านเห็น ถ้าแสดงอาการปกป้องให้พ่อเห็น พ่อจะโกรธสองเท่าสามเท่า มันรักแม่มากกว่ารักพ่อ

ต้องปกป้องแม่โดยไม่ให้เขาเห็น ไม่ให้เขารู้ว่านี่คือการปกป้อง แต่คือการปกป้อง การปกป้องก็ดูแลรักษาป้องกันไม่ให้เข้ามาทำร้าย ไม่ให้ทำสิ่งต่างๆ แต่ถ้าไปปกป้องให้เห็นว่าปกป้อง เขาจะโกรธอีกสองเท่า เพราะทั้งพ่อทั้งแม่ก็ต่างคนต่างจะเอาลูกเป็นให้รักตัว แล้วเราไปปกป้องต่อหน้าเท่ากับเติมฟืนเข้าไปในกองไฟ

จะทำความดีต้องทำความดีลับหลัง ทำความดีต้องไม่ให้ความดีไปอวดใคร การไปอวดใครเท่ากับไปเติมเชื้อไฟ

ฉะนั้น ถ้าพ่อเป็นคนพาล

ชัดๆ เขาพูดเองนะ ยิ่งต้องปกป้องเลย แต่ปกป้องโดยที่ไม่ให้ไปกระเทือนใจเขา คือไม่ไปสุมไฟใส่เขาอีก ถ้ายิ่งสุมไฟใส่เขามันก็หนักไปทั้งสองเท่าสามเท่า นี่พูดถึงปัญหาครอบครัว

เห็นไหม เทศน์ทุกวันเลย การครองเรือนแสนยาก การครองเรือนเหมือนวิดน้ำทะเลทั้งทะเลเพื่อเอาปลาตัวเดียว คือมีความสุขเล็กน้อย ความทุกข์เต็มบ้านเต็มเรือน

การครองเรือนแสนยาก แสนทุกข์แสนยาก

ฉะนั้น ตั้งสติไว้ แล้วแก้ไข คำว่า “แก้ไข” เป็นอภิชาตบุตร บุตรที่ดีของพ่อของแม่ พ่อกับแม่ต้องมีเวรมีกรรมต่อกันถึงได้เกิดมาเป็นสามีและภรรยากัน แล้วมีบุตรคือเรากับน้องสาว

เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เกิดมาเป็นบริษัท ๔ พระพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้ ให้ศาสนาไว้คุ้มครองหัวใจของเรา แล้วเราคุ้มครองหัวใจแล้วเราพยายามจะฝึกหัดปฏิบัติเพื่อดูแลหัวใจของพ่อและของแม่ได้ด้วย

ตั้งสติไว้ ไอ้ที่มันขาด หลุดขาดไปแล้ว เหมือนบ้าคลั่ง เหมือนจะทำร้าย นั่นเพราะมันกดดัน เพราะผลของเวรของกรรมมันกดดันตั้งแต่พ่อตั้งแต่แม่ให้เข้าใจผิดต่อกัน ไอ้ลูกก็โดน

ในบ้าน ในทางจิตวิทยา พ่อแม่ทะเลาะกันอย่าให้ลูกเห็น ลูกจะมีปมในใจ จิตวิทยาเขาก็รู้ สังคมเขาก็รู้ แต่ใครจะห้ามจิตใจของใครได้

พระพุทธศาสนาสอนไง สอนให้ร่มเย็นเป็นสุข แล้วตั้งสติ แล้วฝึกหัดของเรา นี่ผลของเวรของกรรม เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เวรเกิด เวรระงับได้ เราระงับซะ เวรกรรม กรรมของสัตว์

ฉะนั้น ใครจะทำสิ่งใดเป็นเรื่องของเขา เราตั้งสติไว้ ทำคุณงามความดีของเรา ถ้ามีสติสัมปชัญญะ ถ้าหลุดก็ปุถุชนคนหนา ไม่เป็นไร หลุดก็ตั้งต้นใหม่ หลุดก็ตั้งต้นใหม่

เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัยคุ้มครองดูแลหัวใจของเรา แก้วสารพัดนึก ใครใช้ประโยชน์ในพระพุทธศาสนามากน้อยขนาดไหน จิตใจเขาจะมีที่พึ่งที่อาศัย เอวัง